วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พญาไท ๓๑๔ ฅนของประชาชน วันนี้ ๒๘ พค. ๕๕ พญาไท ๓๑๔ ไปช่วยเป็นวิทยากรให้ศูนย์ ในสังกัด ปรากฏว่าเกิดอาการวูบบนเวที ทีมงานได้พาไปส่งที่ รพ.บุรีรัมย์ ตรวจพบว่าเส้นโลหิตในสมองแตก ครับ... ในการนี้ผมใคร่ขอกำลังใจทีมงานและศิษย์ทั้งหลายจงช่วยกันบำเพ็ญบุญ ภาวนาให้พญาไท ๓๑๔ จงอยู่รอดปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ววันด้วย


เล็งเดินทางเยี่ยมแรงงานพม่าที่ทั่วไทย
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 19.00น. วานนี้ (29พ.ค.) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ได้เดินทางถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการมาไทยดังกล่าวเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในรอบ 24ปีของเธอ
โดยการมาเยือนไทpของนางซูจีครั้งนี้ ก็เพื่อเข้าร่วมการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกฯ หรือ WEF ในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ขณะเดียวกันก็เพื่อมาเยี่ยมเยือน วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การแรงงานพม่า และครอบครัวที่มาทำงานในประเทศไทย ซึ่งเธอจะใช้เวลาอยู่ในไทยเพื่อปฏิบัติภารกิจเป็นเวลา 4วัน
สำหรับกำหนดนั้นในวันนี้ (30พ.ค.) เธอจะไปเยี่ยมแรงงานพม่าที่ อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ก่อนจะกลับเข้าพักในเวลา 14.30น. ที่โรงแรมแชงกรี-ลา.
และล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา นางอองซาน ซูจี ได้เดินทางถึงตลาดกุ้งมหาชัยแล้ว โดยมีชาวพม่านับพันแห่ต้อนรับคึกคัก ขณะที่เธอสวมเสื้อลายดอกเพื่อเยี่ยมและให้กำลังแรงงานในครั้งนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังคุ้มกันเข้ม คาดขึ้นเวทีปราศรัยด้วย

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


29 พ.ค. - เพลิงไหม้ที่ห้างสรรพสินค้าที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ทำให้ชาวต่างชาติอย่างน้อย 19 คนเสียชีวิต ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 13 คน
กระทรวงกิจการภายในของกาตาร์รายงานเด็กที่เสียชีวิตมาจากนิวซีแลนด์ สเปน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และเบนิน ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่สื่อหลายสำนักรายงานว่าต้นเพลิงเกิดขึ้นในพื้นที่ดูแลเด็กของห้างสรรพสินค้าวิลลากิโอทางตะวันตกของกรุงโดฮา ขณะที่กระทรวงกิจการภายในของกาตาร์ยืนยันเพียงว่าเพลิงเริ่มขึ้นบริเวณประตู 3 และ 4 ในห้างสรรพสินค้าแต่กำลังสอบสวนอยู่
เจ้าหน้าที่ของกระทรวง ระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีชาวกาตาร์ ส่วนผู้ใหญ่ 4 คนที่เสียชีวิตเป็นครูและอีก 2 คนเป็นเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยพลเรือน ขณะที่ผู้บาดเจ็บมี 17 คน เป็นเด็ก 4 คน
ญาติของเด็กวัย 2 ขวบที่เสียชีวิตจากเพลิงไหม้กล่าวว่า ไม่ได้ยินสัญญาณเตือนไฟไหม้หรือเห็นเครื่องฉีดน้ำดับเพลิงอัตโนมัติทำงาน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกิจการภายในยืนยันอาคารทุกแห่งในกาตาร์ปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัยโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ถึงกระนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาประเด็นความปลอดภัยว่าห้างแห่งนี้ขาดตกบกพร่องหรือไม่
ห้างสรรพสินค้าวิลลากิโอเปิดทำการเมื่อปี 2549 เป็นศูนย์สรรพสินค้าสไตล์อิตาลี ภายในบริเวณประกอบด้วย โรงแรม สวนสนุก และคลองที่มีเรือกอนโดลา จำลองบรรยากาศนครเวนิสในอิตาลี - สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


10 สัญญานเตือนภัย

คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแลและตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต "ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" จึงแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง
      
       1. สัญญาณเตือน
          เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู  ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
       2. เครื่องยนต์
       เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
       - เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
       - เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
       - มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
       ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
      3. ยาง
       การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
       - ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
       - ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
       - ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
       - ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
       นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

     4. คลัตซ์
       คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
       - คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
       - คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
       - แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
       ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
       5. เกียร์
         เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
       - มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
       - เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
       - มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
       - ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
       ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

    6.พวงมาลัย
       พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
       - พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
       - พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
       - พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
       ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
       7. เบรก
           ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
       - เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
       - เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
       - แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
       ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที
      
       8. ไฟชาร์จ
           ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

     9. หลอดไฟ
       หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า?เรกูเลเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด  ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเร**เลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่
      
       10. น้ำมันหล่อลื่น
        ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที
      
       ถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน ให้จอดรถ ดับเครื่องยนต์ทันที ดึงเบรคมือ เปิดกระจกรถปิดสวิตช์กุญแจ และดึงกุญแจออกจากสวิทช์ เปิดฝากระโปรงหน้าและท้ายรถลงจากรถพร้อมนำของมีค่าและถังดับเพลิง (ถ้ามี) ออกมาด้วยเปิดฝากระโปรงหน้าและหลัง สังเกตดูอาการผิดปกติ

**ในกรณีเป็นถังมัลติวาล์ว ของ เอ็นเนอร์จี รีฟอร์ม (Energy Reform Multivalve) ไม่ต้องปิดวาล์วด้วยตนเอง เนื่องจากระบบ I.S.S (Intelligent Safety System) ที่ตัวของมัลติวาล์ว จะปิดทางไหลออกของแก๊สจากถังโดยอัตโนมัติทันทีที่ปิดสวิตช์ เครื่องยนต์หรือดับเครื่องยนต์ (หากเป็นกรณีต่อวงจรของสวิตช์ ผ่านสวิตช์กุญแจรถยนต์ – IGN)**
เพื่อความมั่นใจว่าแก๊สจะไม่ไหลออกจากถัง ให้ปิดวาล์วที่ถัง โดยหมุนวาล์วตามเข็มนาฬิกาจนสุด
ดึงฟิวส์ของระบบแก๊สข้างแบตเตอรี่ออก เพื่อตัดการทำงานของระบบแก๊ส
หากมีกลิ่นแก๊สหรือน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รีบออกห่าง
หากมีเพลิงไหม้ให้รีบดับเพลิงที่ต้นเพลิงทันที หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน
หลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนการใช้รถยนต์ด้วยระบบแก๊สอีกครั้ง ควรนำรถของท่านเข้ารับบริกาีรตรวจเช็คจากช่างผู้มีความชำนาญในระบบแก๊สก่อน

อุบัติเหตุจากการกระแทก
จอดรถ ดับเครื่องยนต์ทันที ดึงเบรคมือ เปิดกระจกรถ
ลงจากรถพร้อมสังเกตกลิ่นรั่วของเชื้อเพลิงทั้ง 2 ชนิด (แก๊สและน้ำมัน) แล้วรีบปิดวาล์วมือที่ถังแก๊ส (กรณีที่ใช้ถังวาล์วมือหมุนแบบธรรมดา)
ถ้าเชื้อเพลิงรั่ว ให้แจ้งเหตุฉุกเฉิน ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์อีก เพราะอาจเกิดประกายไฟได้
ให้สังเกตุกลิ่นเชื้อเพลิงรั่วประมาณ 5 นาที
ถ้าไม่มีเชื้อเพลิงรั่ว ให้ทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์ (ปกติระบบจะสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันทุกครั้ง)
สังเกตุกลิ่นอีกครั้งประมาณ 3 นาที
ทดลองเปิดวาล์วที่ถังแก๊ส และสวิตช์เข้าระบบแก๊ส สังเกตกลิ่นแก๊สอีกครั้ง ถ้าไม่มีกลิ่นผิดปกติก็ขับต่อไปได้
แต่ถ้ายังมีกลิ่นแก๊สอยู่ ให้ยกเลิกระบบแก๊ส แล้วขับด้วยระบบน้ำมันแทน (ควรนำรถของท่านเข้าศูนย์บริการรถยนต์ และศูนย์บริการแก๊สโดยเร็ว)

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555




สามเณรน้อย

เรื่องของ สามเณรน้อยรูปหนึ่งที่เพิ่งเริ่มออกบิณฑบาตเป็นครั้งแรก
เณรน้อย เป็นเด็กชายจากในเมืองที่พ่อแม่ส่งมาบวชที่วัดบ้านนอก
อายุอานามก็ยังไม่เต็มสิบขวบดี บวชเรียนได้ไม่ถึงสามวัน
หลวงพ่อท่านก็ให้ตามหลวงพี่ออกบิณฑบาตด้วย
เช้าตรู่วันนั้นมีพระลูกวัดนอนซมด้วยพิษไข้หวัดถึงสามรูป
ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก
เณรน้อยจึงเดินตามหลวงพี่ที่เดินอยู่นำหน้าด้วยความประหม่า
เด็กวัดเห็นท่าทางเคอะๆ เขินๆ ของเณรน้อยเข้าก็ชอบใจ
พอพ้นสายตาคนก็ล้อเลียนเอา
ยิ่งถูกล้อเณรน้อยก็ยิ่งทำท่าทำทางไม่ค่อยถูก
ยืนหน้าแดงอยู่ที่ทางแยก
หันมาอีกทีขบวนของหลวงพี่กับเด็กวัดก็เดินอยู่ข้างหน้าไกลลิบแล้ว
เณรเห็นดังนั้นก็รีบจ้ำเพื่อจะตามให้ทัน
แต่ด้วยที่อยู่ในเพศบรรพชิต แม้จะเป็นเด็กก็ไม่กล้าออกวิ่ง
ขณะที่กำลังจะรีบเดินให้ทันหลวงพี่ข้างหน้า
ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง คุณป้าเกล้าผมมวยกำลังยกมือไหว้รอเณรน้อยอยู่
คุณป้า "นิมนต์เณรด้วยเจ้าค่ะ"
พูดจบคุณป้าแกก็หันไปยกโถข้าวที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา
เณรน้อยต้องหยุดเดินหันมาเปิดฝาบาตรเพื่อรับบิณฑบาต
แต่สายตาของเณรนั้นก็ยังคงชำเลืองไปยังขบวนของหลวงพี่ที่เดินห่างออกไปแล้ว
คุณป้าตักข้าวใส่ลงไปหนึ่งทัพพี พร้อมกับแกงส้มใส่ลงไปอีกถุงหนึ่ง
เสร็จแล้วคุณป้าแกก็นั่งยองๆ ลง
เณรน้อยปิดฝาบาตรเสร็จก็เตรียมตัวจะเดินออกไป
คุณป้า "ขอพรด้วยเจ้าค่ะพ่อเณร เมื่อกี้ออกมาไม่ทันพระ วันนี้วันเกิดเจ้าค่ะ"
เณรชะงักเท้าแล้วก็หันกลับมามองโยมเจ้าของวันเกิด
และหลังจากที่ก้มหน้านึกอยู่พักใหญ่
ในที่สุดเณรก็กล่าวอำนวยพรออกมา

"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู"

ว่าจบก็รีบออกจ้ำเดินตามหลวงพี่ไป

คุณป้า " ??? !!! "

บทความและภาพจากอินเตอเน็ต

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


บ้านคือที่พักอาศัยของคนเราที่จำเป็นมาก บ้านจะน่าอยู่ ต้องมีการตกแต่ง แล้วตกแต่งอย่างไรจะทำให้บ้านดูดี สวยงาม น่าอยู่น่าอาศัย วันนี้ก็มีอีกแบบการตกแต่งบ้านมาให้ดุครับ ลองมาดูเลย



การวางแผนออกแบบตกแต่งภายในอพาร์ทเม้น คอนโด
อยากตกแต่งห้องแบบนี้จังเลยครับ แต่ห้องไม่ใหญ่เท่านี้อะครับ


มีห้องครัวแบบนี้ก็ดีนะครับ ทำครัวไปด้วยชมวิวไปด้วย ดูท่าน่าจะมีความสุขน่าดูครับ อาหารที่ทำออกมาคงอร่อยน่าดูเลยนะครับ


ห้องครัวดูดีมากเลยครับ อยากได้ห้องครัวแบบนี้ที่บ้านจังเลยครับ


ห้องนอนก็ดูสวยสะอาดตามากเลย เตียงนอนคงนุ่มน่าดูนะครับ

 
ห้องน้ำก็ดูสะอาดสะอ้านดีคับ เรียบร้อยดี มีเครื่องซักผ้าเครื่องอบผ้าอยู่ในห้องน้ำด้วย


ห้องดูทีวีปูพรมด้วยคับ โซฟาก็น่าจะนุ่ม นั่งดูหนังดูละครคงนุกน่าดูครับ ทีวีก็จอใหญ่ อยากได้ทีวีจอใหญ่ๆแบบนี้ไปไว้ที่บ้านจัง ถ้าได้ไปไว้ที่บ้านคงไม่ไปไหนแน่ๆเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


19 ปีไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ คนงานเร่งรัฐตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยคนงาน-เลิกใช้แร่ใยหิน

เนื่องในวันความปลอดภัยแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 พ.ค.ของทุกปี สมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย อ่านแถลงการณ์ของเครือข่ายสังคมไทยไร้แร่ใยหิน (T-BAN) ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายแรงงาน นักวิชาการ เอ็นจีโอ ภาคประชาชน สภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมฯ สมาพันธ์อาชีวอนามัยและความปลอดภัยฯ สหพันธ์แรงงานก่อสร้างและคนทำไม้ฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค โดยระบุว่า ในวาระครบรอบ 19 ปี โศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้ ซึ่งมีคนงานเสียชีวิตถึง 188 ศพ บาดเจ็บ 469 รายเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2536 เป็นโอกาสที่จะรำลึกถึงความปลอดภัยที่แรงงานควรได้รับ แต่ปีนี้กลับมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อแรงงานที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เหตุสารเคมีระเบิดที่โรงงานผลิตยางสังเคราะห์ BST ในนิคมอุตสาหกรรมาบตาพุด สารเคมีรั่วไหลที่นิคมเหมราช และคนงานที่ขึ้นไปติดตั้งสติ๊กเกอร์โฆษณาบนตึกใบหยก 68 ชั้น ตกลงมาเพราะสลิงขาดจนถึงแก่ชีวิต
ขณะที่การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งเครือข่ายแรงงาน นักวิชาการและภาคประชาชน ผลักดันมาอย่างยาวนาน และได้รับการบรรจุใน พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 ซึ่งตาม พ.ร.บ.นี้ ระบุว่า กระทรวงแรงงานต้องตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ภายใน 1 ปีคือวันที่ 14 ก.ค.55 ปัจจุบัน ซึ่งร่างการจัดตั้งสถาบันฯ จะส่งเข้าสำนักงานกฤษฎีกา ยังขาดข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และการสรรหากรรมการสถาบันฯ รวมถึงยังมีกรณีแร่ใยหิน หรือใยหินไครโซไทล์ ที่สมัชชาสุภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 มีมติให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน และคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 เม.ย.54 ห้ามนำเข้าแร่ใยหินไครโซไทล์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์ แต่กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่ได้ดำเนินการตามมติ ครม.
เครือข่ายสังคมไทยไร้แร่ใยหินจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย ที่มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ มีคณะกรรมการจากการสรรหา เร่งชดเชยตามกฎหมายให้กับผู้ประสบอันตรายและเจ็บป่วยจากการทำงาน รวมทั้งอันตรายที่มาจากแร่ใยหิน ยกเลิกนำเข้าใยหินไครโซไทล์และยกเลิกการผลิตสินค้าที่มีใยหินไครโซไทล์ตามมติ ครม. 12 เม.ย.54 และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติทันที รวมถึงปฏิบัติตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 4 ว่าด้วยเรื่องการเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังขอให้สื่อมวลชนรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อ โดยนำเสนอข้อเท็จจริงที่ว่า องค์การอนามัยโลก องค์กรนานาชาติการวิจัยมะเร็ง และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ชี้ชัดว่าใยหินไครโซไทล์ก่อมะเร็งเยื่อหุ้มปอด มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งรังไข่ โดยมาตรการขจัดโรคจากใยหินที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือยกเลิกการใช้
พุทธิ เนติประวิต ผู้ประสานงานสหพันธ์แรงงานก่อสร้างและคนทำไม้ฯ กล่าวว่า ไทยนำเข้าแร่ใยหินเป็นอันดับที่ห้าของโลก มูลค่าราวแสนล้านตัน ขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วและห่วงใยสุขภาพประชาชน เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อเมริกา ได้ยกเลิกการใช้ในประเทศแล้ว ด้านการชดเชยดูแลหากเจ็บป่วย พุทธิกล่าวว่า เนื่องจากการเจ็บป่วยจากแร่ใยหินมีระยะฟักตัว 20-30 ปีเหมือนมะเร็งปอดทั่วไป เมื่อออกจากงานหลายสิบปีแล้วจึงเป็น ฉะนั้น จึงไม่สามารถขอค่าชดเชยจากกองทุนเงินทดแทนได้ ในประเทศที่เจริญแล้วก็ยังเถียงกันว่าเป็นโรคจากการทำงานหรือไม่ ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน และคนป่วยทุกข์ทรมาน
สำหรับแร่ใยหิน หรือแอสเบสทอส (Asbestos) เป็นแร่ธรรมชาติที่ปนอยู่ในเนื้อหิน ประกอบด้วยธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ซิลิเกต และธาตุอื่นๆ มีลักษณะเป็นเส้นใยละเอียด มีคุณสมบัติทนไฟ ทนความร้อน ไม่นำความร้อนและไฟฟ้า ทนกรด ด่าง มีความแข็งเหนียว และยืดหยุ่น สามารถนำมาปั่นเป็นเส้นและทอเป็นผืนได้ จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ฝ้าเพดาน ท่อน้ำซีเมนต์ กระเบื้องยางไวนิลปูพื้น ผ้าเบรก ฉนวนกันความร้อน อย่างไรก็ตาม หากสูดดมฝุ่นและละอองของแร่ใยหินเข้าสู่ร่างกาย จนสะสมในปริมาณที่มากและเป็นเวลานาน 15-30 ปี จะทำให้เป็นมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง ปัจจุบันมีอย่างน้อย 100 ประเทศทั่วโลกดำเนินการลดการใช้แร่ใยหิน องค์การแรงงานระหว่างประเทศระบุว่าควรมีการกำจัดแร่ใยหินในอนาคต

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


นาทีระทึก! 2สามีภรรยาขับเก๋งไปเที่ยวภูเก็ต เกิดไฟลุกท่วมระหว่างทาง หวิดย่างสด 



เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ต.ท.พงษ์เจริญ ขันติโล สว.ทล.4 กก.2 ชุมพร ตรวจสอบเหตุเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถยนต์บนถนนสายเพชรเกษมช่วง ก.ม.ที่ 482 ม.1 บ้านควนทราย ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จึงพร้อมประสานเทศบาลตำบลเนินสันติ อ.ท่าแซะ นำรถดับเพลิงมาดับไฟ ที่เกิดเหตุอยู่ในถนนขาล่องใต้ พบเพลิงกำลังไหม้รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ทะเบียน ฐล 9525 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถติดก๊าซ จึงปิดการจราจรทั้งขาขึ้นและขาล่องเนื่องจากเกรงความร้อนของไฟจะทำให้ถังก๊าซเกิดระเบิดขึ้นได้ ส่งผลให้การจราจรติดยาวนับกิโลเมตร และกว่ารถดับเพลิงเทศบาลเนินสันติจะมาถึงที่เกิดเหตุได้ รถยนต์คันดังกล่าวถูกไหม้เสียหายหมดทั้งคัน


นายสมโภชน์ นวลพรหม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 ม.2 ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เป็นอาสาสมัครกู้ภัยสายชล เปิดเผยว่า ขณะออกจากบ้านซึ่งอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเพื่อไปเข้าเวรในการบริการประชาชน พบรถคันดังกล่าวกำลังเกิดไฟลุกไหม้อยู่บริเวณช่วงด้านหน้าของตัวรถยนต์ จึงใช้เครื่องดับเพลิงอเนกประสงค์ชนิดผงเคมีแห้ง 3 ถังเพื่อดับเพลิง แต่ระหว่างฉีดถังดับเพลิง ได้เกิดระเบิดขึ้นหนึ่งครั้งภายในรถจึงถอยออกมาและมีเสียงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะเกรงว่าอาจเกิดอันตราย จึงต้องรอรถดับเพลิงมาดับไฟ แต่กว่ารถดับเพลิงจะมาถึงรถคันดังกล่าวเสียหายหมดทั้งคันแล้ว สาเหตุเป็นเพราะรถดับเพลิงไม่สามารถวิ่งมาจุดเกิดเหตุได้สะดวก เนื่องจากจราจรติดขัดเป็นอันมาก

ด้าน นายชลิต ฐิติธานนท์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 200/9 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร คนขับรถคันเกิดเหตุเล่าว่ากำลังพานางพัชมน ทองเหมาะ อายุ 41 ปี ภรรยา ไปเที่ยวที่ จ.ภูเก็ต ก่อนเกิดเหตุแวะเติมก๊าซที่ปั๊มใน อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อขับมาได้ไม่ถึงชั่วโมงได้กลิ่นเหม็นไหม้ภายในห้องโดยสาร และแตรก็ดังขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกผิดสังเกตจึงนำรถเข้าจอดริมถนน ก่อนบอกภรรยารีบลงจากรถ จากนั้นประมาณ 3 นาที ก็เกิดไฟลุกขึ้นในห้องโดยสาร ตนและภรรยารีบวิ่งออกจากตัวรถเพราะเกรงจะได้รับอันตราย และคิดว่าสาเหตุที่รถของตนถูกไฟไหม้ในครั้งนี้อาจเกิดจากระบบไฟฟ้าภายในเกิดการขัดข้องขึ้นมา อีกทั้งรถของตนเป็นรถรุ่นเก่า เมื่อเกิดประกาย
ไฟจึงลุกลามไปติดสายส่งก๊าซ และเกิดเพลิงไหม้จนเสียหายหมดทั้งคัน แต่โชคดีที่ตนและภรรยาไม่ได้รับอันตราย


เหลือแค่ป้าย


วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:15 น.  ข่าวสดออนไลน์


กระเช้าติดป้ายโฆษณาตึกใบหยก2หักครึ่ง คนงานดิ่งจากชั้น68ดับ3ศพ-รอด2


 เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 7 พ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ร.ต.อ. พิมพิศาร ธำรงเลาหพันธ์  พนักงานสอบสวน สน.พญาไท รับแจ้งมีคนงานตกจากกระเช้า ในอาคารใบหยก 2 ถ.ราชปรารภ แขวงราชปรารภ เขตราชเทวี กทม. ลงมาเสียชีวิต จำนวน 3 ราย จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเช้าซึ่งขาดออกจากกัน และห้อยอยู่กับสายสลิง อยู่ติดกับอาคารด้านทิศเหนือ ด้านแอร์พอร์ตลิงค์ บริเวณชั้นที่ 68 และผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมดเป็นคนงานที่มาติดสติ๊กเกอร์โฆษณาบนตัวอาคารด้านนอก

 โดยพบศพผู้เสียชีวิตศพแรกที่บริเวณชั้นที่ 18 ซึ่งเป็นสนามไดร์ฟกอล์ฟ ชื่อนายกำธร อมรวงศ์  โดยร่างของคนงานได้ทะลุตาข่ายของสนามกอล์ฟลงมาที่พื้นเสียชีวิตทันที ศพที่ 2 อยู่บนชั้นที่ 20 พบศพนายอดิวัช ศรีจวนกิติภูมิ อยู่ใกล้กระถางต้นไม้ บริเวณสระน้ำ  ศพที่ 3 พบศพนายฤทธิ์ชัย จำญาติ บนระเบียงชั้นที่ 36 และมีผู้รอดชีวิต 2 คน ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ชื่อนายดอน ไม่ทราบนามสกุล ถูกนำตัวส่ง รพ.รามาธิบดี

 นายเพลินจิตร กองอุดม อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในคนงานที่รอดชีวิต ยังอยู่ในอาการตกใจ ถึงกับร้องไห้ กล่าวว่า ตนเองและเพื่อนคนงานที่เสียชิวิต เป็นคนงานมาติดสติ๊กเกอร์โฆษณาที่อาคารใบหยก 2 กันทั้งหมด 8 คน โดยนำกระเช้ามาทำการติดสติ๊กเกอร์กันตั้งแต่ช่วงเช้าบนชั้นที่ 89 โดยลงไปทำงานในกระเช้ากัน 4 คน  กระเช้าก็เป็นปกติดี ทำงานเรื่อยมาจนพักเที่ยง และเริ่มงานต่อในช่วงบ่ายมีเพื่อนคนงานลงไปในกระเช้า 5 คน

 ขณะที่กำลังติดสติ๊กเกอร์อยู่ที่ชั้น 68 ของตัวอาคาร ตัวพื้นของกระเช้าเกิดหักและหลุดออก ทำให้เพื่อนที่ยืนอยู่ตรงกลางกระเช้าทั้ง 3 คน ตกลงไปด้านล่างทันที ส่วนตนเองคว้าตัวกระเช้าและจับสายสลิงไว้ได้ และต้องห้อยโหนตัวนานเกือบ 30 นาที จึงมีเจ้าหน้าที่ของอาคารเข้ามาช่วยและดึงตัวเข้าไปภายในได้อย่างปลอดภัย

 ด้านนายวันชัย ธนูทอง อายุ 38 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอาคารมหานครยิปซั่ม  ถ.ศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอาคารใบหยก กล่าวว่า ช่วงบ่ายกว่าๆ ขณะที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าอาคาร ก็สังเกตเห็นว่ามีคน 5 คนอยู่ในกระเช้า จากนั้นเห็นกระดาษปลิวว่อนอยู่บริเวณอาคารใบหยก 2 และมีคนโหนกระเช้าอยู่ 2 คน ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเกิดอุบติเหตุขึ้นแน่นอนแล้ว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนที่ใช้ถนนศรีอยุธยาและพื้นที่ใกล้เคียงสามารถมองเห็นกระเช้าที่เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวยังคงแขวนอยู่ติดกับตึกใบหยก 2 ได้ในระยะไกล 




วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน กับประชาชน ที่ล้มเหลวสิ้นเชิง กรณีโรงงานระเบิด


วันนี้ เมื่อเหตุภัยเกิดขึ้้นจริงแล้ว  จะเห็นได้ว่า ที่ซักซ้อมกัน เตรียมรับมือกันนั้น ได้ผลดีอย่างไร ที่สุดท้าย เป็นการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในการรับรู้ของประชาชน ที่เริ่มหนีตายกัน เพราะข่าวออกทางทีวีแล้ว ทำไมเป็นอย่างนั้น ... จะว่าเป็นกรณี วันหยุดยาว ซึ่งเป็นคำแก้ตัวอย่างให้อภัยไม่ได้ เพราะเหตุภัยจากภาคอุตสาหกรรม ที่เกิดทั่วโลก มักเกิดขึ้นในวันหยุด ความไม่พร้อม หรือไม่มีความพร้อมที่จะรับมือ ...


ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ที่แหกตาคนทั้งประเทศว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยดี ได้ประกาศอพยพประชาชนทั้งหมดแล้ว การดับไฟได้ทำเรียบร้อยแล้ว" ทั้งที่ ไม่เป็นความจริง ประชาชนหนีเมื่อดูข่าวกันทางทีวีนั่น ไม่มีอะไรที่บอกว่าคือข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนควรรู้ และหลีกหนีให้พ้นภัย ทุกคนต้องตัดสินใจกันเอง ที่มีรถ ก้อขับหนีกันไป คนที่ไม่มีรถก้ออกสั่นขัวญแขวนอยู่ในบ้าน ไหนล่ะรถขนคน รถประกาศ เสียงตามสายที่เคยประกาศให้ชาวบ้านไปรับเงินรับของแจก จากโรงงาน ไม่มีให้ได้ยิน เหมือนที่เคยทำ แกนนำชุมชน ที่เคยเอารถมาประกาศ ให้ไปเลือก ก้อไม่มีมาตระเวณประกาศบอก ให้ชาวบ้านอพยพ สัญญาณเตือนภัย ที่นายอภิสิทธิ์ อดีตนายก บอกเร่งรัดนั่น มันมีซะเมื่อไหร่ โชคดีก้อแค่ เป็นสารพิษที่ไม่ทีอันตรายเฉียบพลัน หรือเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงลุกลาม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว คงเจ็บตายกันทั้งเมืองมาบตาพุด ... ไฟยังไม่มอด แม้กระทั่ง 5 ทุ่ม ที่ยังทุ่มเทความพยายามดับกันอยู่ มีคลังก๊าซขนาดใหญ่ อยู่ตรงนั้น ที่ถ้าบึ้ม ก้อไม่รู้ว่า จะลุกลามแค่ไหน โรงงานมันเรียงราย ติดต่อเนื่องกัน ด้วยท่อก๊าซไวไฟ ก๊าซอันตราย ที่ไม่ใช่มีแค่ตัวเดียว แบบในข่าว โยสรุปสั้นๆ ว่า "มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง" (ความจริงแบบนี้ ที่สื่อมวลชนไทย ก้อเงียบกันหมด รอหายนะเกิดกับประชาชนจริงๆ กันนั่นใช่มั้ย!)

ไม่ต้องพูดถึงแผนการซักซ้อม ที่พึ่งมีไปมาดๆ เมื่อ 27 เมษายน 2555 ผ่านไป แค่ 7-8 วัน โดย "เพื่อนชุมชน" ที่ขาดความจริงใจทั้งหลายนั่น แต่เกิดเหตุภัยแล้ว "ทุกอย่างเงียบหมด ทิ้งให้ชาวบ้านรอความตาย แบบไม่รู้ตัว"

ที่วันนี้ ยังคงจะเลือกที่จะทิ้งความเสี่ยงภัยให้ชาวบ้าน ด้วยความอำมหิต...กับโรงงาน ปตท. จำนวนมาก ที่เลือกไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด






สื่อมวลชนไทย ที่ทำกันแค่ นับเจ็บตายขายข่าว







วันนี้ (6 พ.ค.) นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวถึงความคืบหน้า เหตุระเบิดภายในโรงงาน กรุงเทพ ซินธิติกส์ หรือบีเอสที ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่า จากการสอบถามพยานแวดล้อมทั้งหมด ในเบื้องต้นสามารถสรุปสาเหตุได้ ว่าเกิดขึ้นขณะขนการถ่ายสารโทลูอีน ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตยางรถยนต์ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่เปลี่ยนถ่ายไปใส่ถังใหม่เกิดความร้อน ทำให้สารดังกล่าวที่เป็นวัตถุไวไฟระเบิดขึ้น โดยขณะนี้ สรุปยอดผู้เสียชีวิตรวม 12 ศพ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยคาดว่าจะเจอศพเพิ่มอีก

สำหรับสารโทลูอีน (Toluene) เป็นอนุพันธ์ของเบนซิน มีลักษณะเป็นของเหลว ไม่มีสี ระเหยเป็นไอและติดไฟได้ง่ายที่ความดันบรรยากาศและอุณหภูมิปกติ มีกลิ่นคล้ายเบนซิน กลิ่นหอมหวานแรง สูตรโมเลกุลคือ C6H5CH3 ในปัจจุบันโทลูอีนส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมถ่านหินและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในอุตสาหกรรมถ่านหินจะได้โทลูอีนจากแก๊สและ coal tar ส่วนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ หรือ ก๊าซธรรมชาติ สมบัติทางเคมีและกายภาพของโทลูอีนที่ควรรู้จัก เช่น จุดหลอมเหลว -95°C จุดเดือด 110.4°C จุดวาบไฟ 6-10°C ความหนาแน่น 0.866 g.mL-1 อุณหภูมิที่ติดไฟได้เอง 623°C เป็นต้น

สำหรับประโยชน์โทลูอีนมีหลายอย่างเช่น ใช้ทำสารทำละลาย ในอุตสาหกรรม ยา เคมี ยาง พลาสติก และ สี ใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตสารเคมีหลายชนิด ใช้ในอุตสาหกรรมหนังเทียม เส้นใย การเคลือบกระดาษ และหมึกพิมพ์ ใช้ใส่ในน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เป็นส่วนผสมหลักของทินเนอร์ในสี แลกเกอร์ และน้ำมันชักเงา เป็นต้น.






ระยอง: 27 เมษายน 2555  เพื่อนชุมชน โดยกลุ่มผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งก่อตั้งโดย กลุ่ม ปตท. เอสซีจี บีแอลซีพี กลุ่มบริษัทดาว ในประเทศไทย และโกลว์ ผนึกความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เทศบาลเมืองมาบตาพุด เทศบาลตำบลบ้านฉาง จัดทำแผนฉุกเฉินชุมชน ซึ่งถือว่าระยองเป็นจังหวัดนำร่อง และจัดอบรม “Train the Trainerการจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชน”ที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทั้งในและนอกกลุ่มเพื่อนชุมชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสาธารณภัยประเภทต่างๆ ให้ชุมชน พร้อมเตรียมจัดซ้อมแผนฉุกเฉินระดับจังหวัดที่โรงงาน TOC Glycol มิถุนายนนี้
การจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชน เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสารณภัย จังหวัดระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กลุ่มเพื่อนชุมชน โดยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง และชุมชน โดยมีการจัดทำแผนซึ่งครอบคลุมสาธารณภัยต่างๆ รวมทั้งสิ้น 14 ประเภท อันได้แก่ อุทกภัย วาตภัย ซึ่งเป็นภัยใกล้ตัว เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับสาธารณภัยประเภทต่างๆ ให้กับชุมชน ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชนมีการกำหนดบุคคลที่ต้องรับผิดชอบตามกระบวนการในแผนฉุกเฉินที่ได้จัดทำไว้ด้วย อาทิ ฝ่ายสื่อสาร ฝ่ายอพยพ  ฝ่ายรักษาพยาบาล ฝ่ายกู้ภัย เป็นต้น

ว่าที่ร้อยตรี สุพีร์พัฒน์  จองพานิชรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า “ระยอง ถือเป็นจังหวัดนำร่องที่กำหนดให้มีการจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นตั้งแต่แรกเริ่ม สามารถกำหนดแผนฉุกเฉินชุมชนได้สอดคล้องกันทั้งระบบและใช้ทรัพยากรได้เต็มศักยภาพทุกหน่วยงาน ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจผลักดันโครงการให้บรรลุตามเป้าหมาย  ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กลุ่มเพื่อนชุมชน  ที่ร่วมออกแรงผลักดันโครงการนี้มาตลอด  รวมถึง เทศบาลเมืองมาบตาพุด  เทศบาลตำบลบ้านฉาง  ตลอดจนพี่น้องในชุมชน ที่ช่วยกันส่งเสริมให้กิจกรรมนี้ขยายวงกว้างและเข้าถึงชุมชนอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น  เชื่อมั่นว่า การจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชน จะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่ช่วยให้เกิดการเตรียมพร้อมป้องกัน เตือนภัย และบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ  อันจะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดได้  ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่จังหวัดระยอง แต่ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่นๆ ในประเทศ ก็ควรส่งเสริมให้มีโครงการจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชนเช่นกัน เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย และสร้างความแข็งแกร่งให้ชุมชน นำไปสู่รากฐานที่มั่นคงของสังคมและประเทศต่อไป”


นายพีระวัฒน์  รุ่งเรืองศรี  รองผู้ว่าการ (สายงานท่าเรือ)การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินถือเป็นเรื่องสำคัญ  โดยเฉพาะในระดับชุมชน  ทั้งนี้ ทุกชุมชนจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพให้สามารถป้องกันและช่วยเหลือตนเองได้ในเบื้องต้น  ซึ่งในการดำเนินงานต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงถึงความเข้มแข็งของชุมชนนั้น ๆ ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกลุ่มเพื่อนชุมชน ที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ชำนาญการพิเศษ ประสานงาน และงบประมาณในการจัดทำ รวมถึงการจัดทำคู่มือแผนฉุกเฉินชุมชน เพื่อกำหนดมาตรการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในโอกาสต่อไป และขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยผลักดันให้กิจกรรมเดินหน้าไปได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ชุมชนของจังหวัดระยองแข็งแกร่ง และเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”

 นายสุชัย อัศวถาวรวานิช ประธานร่วมฝ่ายปฏิบัติการโรงงานสีเขียว เพื่อนชุมชน กล่าวว่า “ในฐานะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ จ.ระยอง การจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชนถือเป็นภารกิจสำคัญที่แสดงถึงเจตนารมณ์และความรับผิดชอบในการดูแลสังคมและชุมชน  เพราะบทบาทสำคัญของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่ใช่แค่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ แต่ยังต้องสนับสนุน และพัฒนาให้ชุมชนเติบโตได้อย่างยั่งยืน  ที่ผ่านมา กลุ่มเพื่อนชุมชน ร่วมกับผู้ประกอบการในนิคมฯ ได้จัดทำแผนฉุกเฉิน ชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2554 ได้จัดทำแล้วเสร็จรวม17 ชุมชน และในปี 2555 ได้จัดทำครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดเพิ่มเติมอีก 22 ชุมชน และเขตเทศบาลตำบลบ้านฉาง 3 ชุมชน รวมเป็น 25 ชุมชน และกำลังเดินหน้าขยายพื้นที่ไปสู่เขตเทศบาลตำบลบ้านฉางเพิ่มเติมด้วย”

นายเสขสิริ  ปิยะเวช กรรมการฝ่ายปฏิบัติการโรงงานสีเขียว เพื่อนชุมชน กล่าวว่า “องค์ความรู้ที่ได้จากการทำแผนฉุกเฉินชุมชนสามารถนำมาปรับใช้ในทางปฎิบัติได้จริงในการดำเนินงาน นอกจากจะมีการชี้แจงแผนงานให้ชุมชนได้รับทราบ และจัดฝึกอบรมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผน และส่งมอบแผนให้ชุมชนไปใช้งานต่อไปแล้ว  ยังมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ชุมชนในการป้องกัน เตือนภัย บรรเทาและฟื้นฟูสาธารณภัย ทั้งยังส่งเสริมให้คนในชุมชนตระหนักถึงศักยภาพของชุมชน และพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากการจัดอบรม Train the Trainer ในวันนี้ มีกำหนดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินครั้งต่อไปที่โรงงาน TOC Glycol  ในเดือนมิถุนายนนี้”

นายถวิล โพธิบัวทอง นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองมาบตาพุด กล่าวว่า “การจัดทำแผนฉุกเฉินชุมชนภายใต้โครงการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนี้ นอกจากจะให้ความรู้ที่มีประโยชน์กับชุมชนในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว ยังส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนฉุกเฉินอย่างจริงจัง ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาอาศัยตนเอง ทั้งยังตระหนัก เข้าใจ และพร้อมจะรับมือเมื่อเกิดเหตุได้  เทศบาลเมืองมาบตาพุดพร้อมและยินดี ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”
          
นายสุชิน  พูลหิรัญ นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลบ้านฉาง กล่าวว่า “เทศบาลตำบลบ้านฉาง ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือในโครงการนี้  โดยพร้อมสนับสนุนสถานที่ในการจัดทำแผน และเชิญชวนชุมชนเข้าร่วมการจัดทำแผนฉุกเฉิน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชุมชนจะสามารถนำแนวทางการจัดทำแผนมาปฏิบัติ ปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์  เพื่อนำประโยชน์สูงสุดกลับมาสู่ชุมชน”