วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


10 สัญญานเตือนภัย

คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแลและตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต "ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" จึงแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง
      
       1. สัญญาณเตือน
          เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู  ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
       2. เครื่องยนต์
       เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
       - เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
       - เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
       - มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
       ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
      3. ยาง
       การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
       - ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
       - ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
       - ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
       - ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
       นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

     4. คลัตซ์
       คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
       - คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
       - คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
       - แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
       ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
       5. เกียร์
         เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
       - มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
       - เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
       - มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
       - ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
       ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

    6.พวงมาลัย
       พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
       - พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
       - พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
       - พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
       ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
      
       7. เบรก
           ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
       - เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
       - เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
       - แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
       ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที
      
       8. ไฟชาร์จ
           ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

     9. หลอดไฟ
       หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า?เรกูเลเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด  ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเร**เลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่
      
       10. น้ำมันหล่อลื่น
        ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที
      
       ถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน ให้จอดรถ ดับเครื่องยนต์ทันที ดึงเบรคมือ เปิดกระจกรถปิดสวิตช์กุญแจ และดึงกุญแจออกจากสวิทช์ เปิดฝากระโปรงหน้าและท้ายรถลงจากรถพร้อมนำของมีค่าและถังดับเพลิง (ถ้ามี) ออกมาด้วยเปิดฝากระโปรงหน้าและหลัง สังเกตดูอาการผิดปกติ

**ในกรณีเป็นถังมัลติวาล์ว ของ เอ็นเนอร์จี รีฟอร์ม (Energy Reform Multivalve) ไม่ต้องปิดวาล์วด้วยตนเอง เนื่องจากระบบ I.S.S (Intelligent Safety System) ที่ตัวของมัลติวาล์ว จะปิดทางไหลออกของแก๊สจากถังโดยอัตโนมัติทันทีที่ปิดสวิตช์ เครื่องยนต์หรือดับเครื่องยนต์ (หากเป็นกรณีต่อวงจรของสวิตช์ ผ่านสวิตช์กุญแจรถยนต์ – IGN)**
เพื่อความมั่นใจว่าแก๊สจะไม่ไหลออกจากถัง ให้ปิดวาล์วที่ถัง โดยหมุนวาล์วตามเข็มนาฬิกาจนสุด
ดึงฟิวส์ของระบบแก๊สข้างแบตเตอรี่ออก เพื่อตัดการทำงานของระบบแก๊ส
หากมีกลิ่นแก๊สหรือน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รีบออกห่าง
หากมีเพลิงไหม้ให้รีบดับเพลิงที่ต้นเพลิงทันที หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน
หลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนการใช้รถยนต์ด้วยระบบแก๊สอีกครั้ง ควรนำรถของท่านเข้ารับบริกาีรตรวจเช็คจากช่างผู้มีความชำนาญในระบบแก๊สก่อน

อุบัติเหตุจากการกระแทก
จอดรถ ดับเครื่องยนต์ทันที ดึงเบรคมือ เปิดกระจกรถ
ลงจากรถพร้อมสังเกตกลิ่นรั่วของเชื้อเพลิงทั้ง 2 ชนิด (แก๊สและน้ำมัน) แล้วรีบปิดวาล์วมือที่ถังแก๊ส (กรณีที่ใช้ถังวาล์วมือหมุนแบบธรรมดา)
ถ้าเชื้อเพลิงรั่ว ให้แจ้งเหตุฉุกเฉิน ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์อีก เพราะอาจเกิดประกายไฟได้
ให้สังเกตุกลิ่นเชื้อเพลิงรั่วประมาณ 5 นาที
ถ้าไม่มีเชื้อเพลิงรั่ว ให้ทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์ (ปกติระบบจะสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันทุกครั้ง)
สังเกตุกลิ่นอีกครั้งประมาณ 3 นาที
ทดลองเปิดวาล์วที่ถังแก๊ส และสวิตช์เข้าระบบแก๊ส สังเกตกลิ่นแก๊สอีกครั้ง ถ้าไม่มีกลิ่นผิดปกติก็ขับต่อไปได้
แต่ถ้ายังมีกลิ่นแก๊สอยู่ ให้ยกเลิกระบบแก๊ส แล้วขับด้วยระบบน้ำมันแทน (ควรนำรถของท่านเข้าศูนย์บริการรถยนต์ และศูนย์บริการแก๊สโดยเร็ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น